การรักษาเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตให้คงอยู่ในตนเองระหว่างที่รอคอยการกลับมาของเขาเองซึ่งเป็นเวลานานถึงหกปี 'TAEYANG' เปรียบการรอเวลาที่เหมาะสมและการรักษาตัวตนของเขาเสมือน 'พระอาทิตย์ตกดิน' การมองดูท้องฟ้าที่มอดไหม้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่แสงจะดับลง ทำให้เขารู้สึกสบายใจและได้รับการเยียวยา
"'พระอาทิตย์ตก'มักตามมาด้วยตอนกลางคืน และผมเห็นตัวเองอยู่ในนั้นรามกับถูกความดึงดูดให้จมดิ่งลงไปในทุกวัน พระอาทิตย์ตกกลมกลืนไปกับความมืดโดยไม่ปริปากบ่น มันทำให้ผมคิดว่าผมจะทำอะไรและจะอย่างไรได้บ้างให้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น” TAEYANG กล่าวขณะพบปะสื่อมวลชนเมื่อวันจันทร์ที่่ผ่านมา
และแล้ว EP 'Down to Earth' ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงเวลาที่เงียบสงัดนั้น “มันคงไม่ผิดที่จะบอกว่าอัลบั้มนี้เริ่มต้นขึ้นตอน 'พระอาทิตย์ตกดิน' เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมมีความคิดและอารมณ์มากมาย...อัลบั้มนี้มีสีสันต่างๆเหมือนกับแสงสีต่างๆที่ส่องมาจากดวงอาทิตย์ขณะพระอาทิตย์ตกดินครับ"
ในการพบกับสื่อมวลชนสำหรับการกลับมาครั้งนี้ TAEYANG เลือกจัดงานในรูปแบบ listening party โดยหวังว่าจะแชร์เรื่องราวผลงานใหม่ได้อย่างลึกซึ้งและจริงใจมากยิ่งขึ้น
การก้าวผ่านและละก้าวแต่ละเพลงทั้ง 6 เพลงจาก 'EP 'Down to Earth' สะท้อนคุณค่าหลักของการเป็น "คนติดดิน" ซึ่งเป็นความหมายของชื่ออัลบั้มนี้ และเป็นสิ่งที่นักร้องหนุ่มกล่าวว่าเขาได้ค้นพบในช่วง 6 ปีที่มืดมนที่ผ่านมา
"ปัญหามันเกิดขึ้นเรื่อยๆครับ และผมไม่สามารถปล่อยเพลงที่มันขัดกับความรู้สึกของผมได้ ผมทำเพลงมาตั้งแต่ยังเด็กและนี่เป็นครั้งแรกที่ผมหยุดทำงานเป็นเวลานาน ผมคิดว่าการติดอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถกำหนดวิสัยทัศน์หรือเป้าหมายได้เป็นสิ่งที่สุดจะทนครับ”
และแล้วการการเฝ้าดูพระอาทิตย์ลับของฟ้าก็ทำให้เขากลับลงมาสู่พื้นดิน "ผมตั้งชื่อตัวเองว่า 'TAEYANG' (พระอาทิตย์) เพราะผมใฝ่ฝันที่จะเป็นแบบนั้น ดวงอาทิตย์ไม่ได้ส่องแสงเพียงอย่างเดียวแต่ยังขึ้นและตกในเวลาเดียวกันทุกวัน ไม่ว่าจะมีเมฆมากหรือแดดออก ผมอยากจะขยันเหมือน ดวงอาทิตย์”
การเดบิวต์ตั้งแต่อายุ 18 ปี ทำให้ TAEYANG เติบโตอย่างรวดเร็วและเรียนรู้ที่จะอยู่รอดในสังเวียนเคป๊อป แต่เขาก็ค้นพบว่าเขาพลาดคุณค่าที่สำคัญบางอย่างของชีวิตไป
"ผมใช้เวลามองให้ลึกลงไปถึงคุณค่าเหล่านั้นที่สำคัญ ผมคิดถึงวิธีที่จะปรับปรุงให้ดีขึ้นไม่ใช่แค่ในฐานะนักร้องแต่ในฐานะ 'คน' โดยเนื้อแท้"
TAEYANG เคยยืนอยู่ ณ ศูนย์กลางของดนตรีที่ล้ำสมัยที่สุดแวดวง เขาจึงต้องการที่จะรวมรวมและสร้างสรรค์ดนตรีใหม่ๆให้เร็วกว่าใครในเพลงของเขา แต่ไม่รีบเร่งหรือกดดันด้วยเส้นตายหรือความพยายามที่จะต้องอยู่ในสมัยนิยม
"ตอนนี้ผมโฟกัสไปที่ข้อความที่ผมต้องการจะสื่อผ่านเพลงของผม แนวเพลงจะถูกตัดสินตามข้อความที่จะเล่า ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วทำให้ผมสามารถลองสไตล์เสียงต่างๆได้ดีครับ"
ไตเติ้ลแทร็คของอัลบั้ม "Seed" ศิลปินหนุ่มแสดงถึงความเคารพต่อเพลงป๊อปเกาหลียุค 80 และ 90 ในท่วงทำนอง ในขณะที่ร้อง ผ่านเนื้อเพลงที่สื่อถึงความคิดและความปรารถนาที่ซื่อสัตย์ของเขาต่ออนาคต
"ตอนนี้ K-pop ประสบความสำเร็จอย่างมากในระดับโลก แต่โดยส่วนตัวแล้วผมรู้สึกว่ายุคทองของแนวเพลงอยู่ในช่วงทศวรรษที่ 80 และ 90 เมื่อความเป็นเกาหลีถูกหลอมรวมเข้ากับเพลงป๊อปอย่างแท้จริง เนื้อเพลงส่วนใหญ่ยังเป็นภาษาเกาหลีในตอนนั้น ผมอยากจะหวนคิดถึงบรรยากาศนั้นอีกครั้งครับ”
ทางด้าน "Shoong!" ที่มี Lisa จาก Blackpink มาร่วมงานด้วยนั้น TAEYANG เล่าถึงเพลงนี้ว่า "ผมกำลังคิดว่าจะเอายังไงกับเพลงของผมดี แล้ววันหนึ่งทีผมคุยเล่นอยู่กับโปรดิวเซอร์ในสตูดิโอ จู่ๆพวกเขาก็โยนประโยคนึงมาให้ผม และผมไม่ต้องการแพ้ก็เลยพูดโต้กลับครับ นั่นเป็นวิธีที่ 'Shoong!' ถูกสร้างขึ้นจากการเล่นคำกับโปรดิวเซอร์ มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมรักและสนุกกับการทำเพลงแบบนี้ขนาดไหน"
TAEYANG กล่าวถึงอีกหนึ่งการร่วมงานกันระดับตำนาน "Vibe" ซึ่งมี Jimin วง BTS มาร่วมแจมด้วย และได้รับการตอบรับอย่่างอบอุ่นจากแฟนๆ “เพลงนี้มีความหมายพิเศษสำหรับผม มันเป็นเพลงแนะนำผมให้รู้จักโลกอีกครั้งหลังจากหายไปนานและเชื่อมโยงผมกับ Jimin BTS ครับ มันพิเศษมาก”
"I Am" การตีเพลงแนว Soul ยุค 70เพลงพูดถึงความคิดของ TAEYANG เกี่ยวกับความรัก "มันแสดงถึงความรู้สึกและความคิดในชีวิตประจำวันของผม และโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันเป็นเพลงรักที่สวยงามที่สุดในอัลบั้มนี้ครับ" เขากล่าว
"Inspiration" อีกเพลงกลิ่นอายยุค 70 ที่มีโน้ตฟังกี้ รวบรวมองค์ประกอบที่สร้างแรงบันดาลใจทั้งหมดของเพลงของ TAEYANG และยังมีแร็ปเปอร์-นักแต่งเพลง Beenzino ซึ่งเป็เพื่อนของศิลปินหนุ่มสมัยประจำการเป็นทหาร มาร่วมงานในเพลงด้วย
"Nightfall" เขาเขียนถึงอารมณ์ที่เขารู้สึกในระหว่างทำอัลบั้มล่าสุด “มันยังให้อารมณ์ที่ผมรู้สึกตอนดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยครับ” เขากล่าวเสริม และในเพลงนี้ยังมี Bryan Chase แร็ปเปอร์วงจาก THEBLACKLABEL มาร่วมงานในเพลงด้วย
TAEYANG ยังใช้โอกาสนี้แสดงความขอบคุณต่อทีมงานและโปรดิวเซอร์ของค่ายที่สนับสนุนเขาในช่วงเวลาที่ไม่มั่นคง และที่ขาดไม่ได้ก็คือครอบครัวของเขา โดยเฉพาะลูกชายวัย 17 เดือน ที่เป็นเหมือนผู้นำแสงสว่างมาสู่ชีวิตของเขา
“มุมมองของผมไม่เพียงแต่ในเรื่องดนตรีเท่านั้น แต่มุมมองต่อโลกได้เปลี่ยนไปอย่างมาก ต้องขอบคุณครอบครัวของผม ลูกชายของผมได้นำการเปลี่ยนแปลงที่ดีมาสู่ชีวิตของผม และทุกวันนี้ผมใช้เวลาอย่างสนุกสนานและมีค่า” เขากล่าว
"ดนตรีเป็นเพียงเครื่องมือเล็กๆน้อยๆ ที่ผมใช้ในการถ่ายทอดความในใจ ผมมักจะเน้นย้ำถึงคุณค่าของความจริงใจเมื่อฉันพูดถึงความใฝ่ฝันทางดนตรีของผม ครอบครัวและลูกน้อยทำให้ผมตระหนักว่าความจริงใจควรเป็นรากฐานของชีวิต”
TAEYANG ยังเผยว่าเขากำลังเตรียมพร้อมสำหรับเวิร์ลดทัวร์อีกด้วย! "เกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนักร้องคือการได้ออกอัลบั้มและพบปะแฟนๆในคอนเสิร์ต เรายังคงคุยกันอยู่ว่าจะจัดการทัวร์อย่างไร...แม้ว่าจะยังไม่ได้กำหนดวันในตอนนี้ แต่ผมสัญญาว่าจะพบกันในอนาคตอันใกล้ผ่านคอนเสิร์ตครับ"
ศิลปินหนุ่มกล่าวว่าการคัมแบ็คในฐานะวง BIGBANG ไม่ใช่แผนการที่เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง
“ผมคิดว่ามันเป็นความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผม แม้ว่าเราจะไม่สามารถพูดในรายละเอียดว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไรในตอนนี้ แต่ในขณะที่เพื่อนร่วมวงกำลังทำกิจกรรมของแต่ละคน ผมคาดว่าจะมีโอกาสที่เราจะได้พบปะกับแฟนๆด้วยกันครับ”
อย่างไรก็ตาม TAYEANG กล่าวต่อว่า “เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมตอนนี้คือการทำให้แฟนๆมีความสุขกับอัลบั้มนี้ พวกเขารอผมมานานและผมก็อยากจะปลอบใจพวกเขาด้วยเพลงของผม”
"ผมเคยมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่าตอนนี้จะยังเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ขึ้นเวทีแบบนี้ แต่ตอนนี้หัวใจของผมอยู่ที่การทำให้แฟนๆมีความสุขมากขึ้นด้วยดนตรีที่ดีขึ้นและการแสดงที่ดีขึ้น ผมอยากเจอแฟนๆ เหมือนตอนที่เรา แรกพบครับ"
ที่มา The Korea Herald
แปลและเรียบเรียง DJ Actkie