'BAMESIS' เป็นคำผสมของชื่อ 'BamBam' และ 'Genesis' ซึ่งหมายถึงต้นกำเนิด จึงหมายถึงโลกที่ 'BamBam' เป็นผู้สร้างขึ้น ซึ่งถ้าจะกล่าวย้อนไป BamBam คือเด็กหนุ่มทั้งที่มาจากต่างประเทศและกลายเป็นศิลปิน K-POP และยังกลายเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จระดับโลก เหล่านี้ก็สิ่งที่เขาสร้างขึ้นจากความสามารถของตัวเอง

 

นี่คืออัลบั้มที่แสดงออกทางดนตรีถึงตัวตนของ 'BamBam' ที่เติบโตมาขึ้นเรื่อยๆในพื้นที่ใหม่ที่เรียกว่า 'BAMESIS‘ ซึ่งครั้งนี้ 'BamBam' ถอยห่างจากภาพลักษณ์ที่แบบศิลปินเพลงป็อปที่เคยเป็นอยู่ และแสดงภาพลักษณ์ที่เป็นผู้ใหญ่  พร้อมพยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงที่แหวกแนวด้วยแนวคิดที่แข็งแกร่งด้วยการนำเสนอแนวเพลงที่หลากหลาย เช่น ฮิปฮอปและละติน

 

'BamBam' มีบทบาทในฐานะโปรดิวเซอร์ของอัลบั้มนี้ด้วย จึงไม่แปลกที่เรามองเห็นตัวตนของเขาในทุกอย่างที่เป็น 'BAMESIS'  ทางด้านเพลงไตเติ้ล 'LAST PARADE' รวบรวมความมั่นใจและความทะเยอทะยานของ 'BamBam' ซึ่งเปรียบเสมือนผู้นำของ 'ขบวนพาเรด' ที่จะพาไปสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้น

 

นอกจากเพลง 'LAST PARADE' แล้ว เพลงอื่นในอัลบั้มล้วนมีเนื้อเพลงเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ถือเป็นการขยายภาพลักษณ์ของ 'BamBam' ในฐานะดาราเคป็อประดับโลกที่กำลังได้รับความนิยมไม่ใช่เฉพาะในเกาหลีแต่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

'Thank You Come Again' เป็นเพลงที่ได้รับความสนใจเมื่อเปิดตัวล่วงหน้าระหว่างเวิร์ลทัวร์ครั้งล่าสุดของ 'BamBam' เพลงนี้เป็นที่มีพื้นฐานป็นเพลงฮิปฮอปที่ขึ้นต้นด้วยเสียงไซเรนที่เข้มข้น และยังโดดเด่นที่เนื้อเพลงที่ขัดแย้งกันซึ่งแสดงความขอบคุณต่อผู้ที่เกลียดตัวเอง คอรัสและการแร็ปแผ่วเบาเหนือจังหวะ Trap อันหนักหน่วงทำให้เกิดการเสพติดเพลงอย่างถอดตัวไม่ขึ้น

นอกจากนี้ 'Mi Último Deseo' ยังเป็นอีกเพลงที่นำเสนอด้านใหม่ของ 'BamBam' ได้อย่างเผ็ดร้อน เพลงเป็นเพลงสไตล์ละติน ซึ่งชื่อเพลงภาษาสเปนนี้หมายถึง 'ความปรารถนาสุดท้ายของฉัน'

ในอัลบั้มยังมีเพลง 'Ball Like That' ที่มีอารมณ์ชวนฝันและซับซ้อน, เพลง 'Must Be Nice' แสดงออกถึงความรู้สึกของ 'BamBam' ต่อแฟนๆที่กำลังอยู่ระหว่างปัจจุบันและอนาคต เพลงทั้งสามเพลงถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อทำให้โลกแห่งดนตรีที่หลากหลายของ BamBam สมบูรณ์

 

ที่มา NBN NEWS

แปลและเรียบเรียง DJ Actkie